เมนู

5. ทามลิสูตร



[229] . . . อารามแห่งอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น
ทามลิเทวบุตร เมื่อสิ้นราตรีปฐมยาม มีวรรณะงามยิ่งนัก ทำพระวิหารเชตวัน
ให้สว่างทั่วแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[230] ทามลิเทวบุตร. . . ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า
พราหมณ์ผู้ไม่เกียจคร้าน พึงทำ
ความเพียรนี้ เขาไม่ปรารถนาภพด้วย
เหตุนั้น เพราะละกามได้ขาด.

[231] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ทามลิ กิจไม่มีแก่พราหมณ์ เพราะว่า
พราหมณ์ทำกิจเสร็จแล้ว สัตว์เกิดยังไม่ได้
ท่าจอดในแม่น้ำทั้งหลาย เพียงใด เขาต้อง
พยายามด้วยตัวทุกอย่าง เพียงนั้น ก็ผู้นั้น
ได้ท่าที่จอดแล้ว ยืนอยู่บนบก ไม่ต้อง
พยายาม เพราะว่า เขาถึงฝั่งแล้ว.
ดูก่อนทามลิเทวบุตร นี้เป็นข้อ
อุปมาแห่งพราหมณ์ ผู้สิ้นอาสวะแล้ว มี
ปัญญาเพ่งพินิจ พราหมณ์นั้น ถึงที่สุด
แห่งชาติและมรณะแล้ว ไม่ต้องพยายาม
เพราะถึงฝั่งแล้ว.

อรรถกถาทามลิสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในทามลิสูตรที่ 5 ต่อไป :-
บทว่า น เตนาสึสเต ภวํ ความว่า เขาไม่ปรารถนาภพใดภพ
หนึ่ง ด้วยเหตุนั้น. เทพบุตรผู้มีความเพียรติดต่อองค์นี้ คิดว่า ความสิ้นสุด
กิจของพระขีณาสพไม่มี ด้วยว่า พระขีณาสพ ทำความเพียรมาตั้งแต่ต้น
เพื่อบรรลุพระอรหัต ต่อมา ก็บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น ท่าน
จงอย่านิ่งเสีย จงทำความเพียร จงบากบั่นในที่นั้น ๆ นั้นแล ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า เทพบุตรองค์นี้ไม่กล่าว
การจบกิจของพระขีณาสพ กล่าวแต่คำสอนของเราว่าเป็นอนิยยานิก ไม่นำสัตว์
ออกจากทุกข์ เราจักแสดงการจบกิจของพระขีณาสพนั้น ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
นตฺถิ กิจฺจํ ดังนี้เป็นต้น. ได้ยินว่า ในปิฎกทั้งสาม คาถานี้ ไม่แตกต่าง
กัน. ด้วยว่า ขึ้นชื่อว่า โทษของความเพียร พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดง
ไว้ในที่อื่น. แต่ในทามลิสูตรนี้ ทรงปฏิเสธเทพบุตรองค์นี้ จึงตรัสอย่างนี้
เพื่อทรงแสดงการจบกิจของพระขีณาสพว่า เบื้องต้นภิกษุอยู่ป่า ถือเอากัมมัฏ-
ฐานทำความเพียร เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะสำเร็จเป็นพระขีณาสพ [สิ้นกิเลส
หมด] แล้ว ต่อมา ถ้าเธอประสงค์จะทำความเพียรก็ทำ ถ้าไม่ประสงค์ เธอ
จะอยู่ตามสบาย ก็ได้ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คาธํ แปลว่า
ท่าเป็นที่จอด.
จบอรรถกถาทามลิสูตรที่ 5